กาแฟร้อน : สามปีที่อักษรมีชีวิต

pen.jpg

เสียงดนตรีบรรเลงคลอเบาๆในที่ทำงานยามเช้า
ดนตรีจีนบรรเลงด้วยตัวโน๊ตร่วมสมัย
สลับบางช่วงจังหวะด้วยการคลอร้องจากเสียงดรุณีน้อย

บ้าง เป็นเสียงสาวแรกรุ่น
บ้าง เป็นเสียงเด็กน้อยเริงรื่นไปกับจังหวะเต้นรำ
บ้าง เป็นเสียงแผ่วบางของพิญสายเสนาะ
บรรเลงเพียงเดียวดายท่ามกลางห้วงเวลา

แห่งความว่างเปล่า สะอาด สงบ

สามปีที่ผ่านมา

เป็นเวลาแห่งการพบเจอและจากลา
การได้เวียนมาพบเจอเป็นเรื่องน่ายินดี
การจากลาเป็นเรื่องธรรมดาที่ล้วนแล้วหลีกหนีไม่พ้น

การจากลาหรือพลัดพรากจากคนผู้หนึ่ง
ย่อมนำมาซึ่งการพบเจอผู้คนอีกแห่งหนึ่ง
ข้าพเจ้าเองก็เป็นส่วนหนึ่ง ในกระบวนการพบเจอจากลาเหล่านี้

อย่างแยกไม่ออก

มองเวลาแล้วใจหาย ล่วงผ่านมาแล้วสามปี
เหลียวมองสภาพแวดล้อมตัวเอง ให้นึกถึงว่า เวลานี้ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับวันเดียวกันนั้น
วันที่นั่งตอกนิ้วลงคีย์บอร์ดครั้งแรก เพื่อ”เขียน”

บางคนเรียกว่า”อัพ”บ้างเรียกว่า”โพส”

จะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ มันก็คือการทำให้ตัวอักษรที่เป็นอยู่กระจัดกระจาย ตัวสระ,พยัญชนะและเหล่าวรรณยุกต์ เกิดการรวมตัวกัน เพื่อก่อเกิดความหมาย และสำแดงพลังประหลาดชนิดหนึ่ง

พลังประหลาด ที่ว่า แสดงผลออกมาหลายอย่าง

” 555+ ”

บางครั้งตัวเลขเพียงสามตัวและเครื่องหมายบวกอีกหนึ่ง ก็ทำให้เราอมยิ้มและมีความสุขตรงหน้าจอใสเรืองแสง มีหลายครั้งที่นั่งหัวเราะบ้าอยู่หน้าจอคนเดียว จนคนที่เดินผ่านไม่มาต้องเหลียวมามอง สงสัยเหลือเกินว่า ไอ้ตัวหนังสือที่วูบวาบอยู่บนจอนั้น มันทำให้เกิดอารมณ์ขันได้ยังไง อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นบ่อยในกล่องที่เรียกว่า ” comments ”

” คิดถึง… ”

บางครั้งตัวอักษรก็ทำหน้าที่เหมือนยานข้ามเวลา ให้เราได้กลับไปหาเรื่องราวที่ประทับใจในอดีต เรื่องราวของความรัก ความระลึกถึง ความเจ็บปวด ความสนุกสนาน

ในเวลาที่ผ่านมาสามปี ข้าพเจ้าได้เดินทางไปยังความประทับใจ ความรัก ความระลึกถึงของผู้คนมากมาย แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยละ ที่ตัวหนังสือเล็กๆ ที่ตัวบางบ้างหนาบ้าง จะสามารถทำหน้าที่เหมือนยานข้ามเวลา ยานที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้

“เห็นภาพ…”

ตัวหนังสือไม่ใช่โทรทัศน์ ยังไง? ทำไม? จึงสามารถปรุงจินตนาการให้ผู้คนได้มองเห็นภาพเสมือนลอยคว้างในห้วงสมองได้ การทำงานของสมองว่าซับซ้อนแล้ว การทำงานของตัวหนังสือกลับซับซ้อนไม่แพ้กัน

บางครั้ง..บางหนกลับสามารถบรรยายได้ลึกซึ้ง ถึงกรุ่นกลิ่นและมวลไอเย็นที่รายรอบ ราวกับนำเราเข้าไปยังสถานที่จริง สำแดงรายละเอียดลึกซึ้งแม้แต่อุณหภูมิของหัวใจ

“อบอุ่น” “เหน็บหนาว” “เหงา” “เร่าร้อน” “อ่อนแอ”

หลายครั้งที่ตัวหนังสือมักแสดง สภาพความเป็นมาและเป็นไปของผู้ที่สร้างมันขึ้น เราแสดงออกทางตัวอักษรเหล่านี้เพราะประสงค์ใดเล่า

“เป็นกำลังใจให้…” “สู้เขา…” “ใจเย็นๆ”

และในเวลาที่เศร้าสร้อย อ่อนแรงในชีวิต หมดหนทางที่จะมองหาทางออก ตัวหนังสือก็ช่วยเยียวยารักษา และเสริมส่งพลังให้กันและกัน แม้จะต่างวาระ ภาษาและถิ่นที่ตั้งของการอาศัย แต่สายใยที่ก่อเกิดจากตัวอักษรกลับสมานกลมกลืนได้อย่างประหลาด

แม้บางครั้งจะมีความก้าวร้าวแวะเวียนผ่านเข้ามาอวดโฉม แต่อักษรเหล่านี้ก็ยังคงยืนหยัดที่จะแสดงพลังเงียบ สงบ และอบอุ่นเพื่อมลายความหยาบและแหลมคมอันเกรียวกราดทางอักษร

มีคนเคยเขียนในที่นี้กล่าวว่า “อักษรมีชีวิต” มันมีลมหายใจ มันสัมผัสได้ มันรับรู้ได้ สดับยินได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจภายใน มันเริงรื่นได้ มันแข็งแรงได้ อ่อนแอได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ดูแลมันอย่างไร เมื่อมันมาอยู่รวมกัน ในวรรคเดียวกันหน้าเดียวกัน มันคือชีวิตที่หลากหลาย และต้องคอยดูแลเห็นอกเห็นใจ

ให้ช่องว่างกับมันอย่างพอเหมาะพอควร ไม่ชิดมากไปจนรู้สึกถึงความอึดอัด ไม่เคาะเว้นช่องว่างมันจนห่างเกินไปจนรู้สึกถึงการขาดหายตายจาก

สามปีก่อน อักษรข้าพเจ้าคล้ายเด็กน้อยซุกซน ร่าเริงบ้าง กราดเกรียวหยาบคายบ้าง เหน็ดเหนื่อยและ พร่ำพลอดเสียเกินพอดี คะนองลองผิดลองถูกกับการผสมอักษร การทดลองเป็นที่น่าพอใจ และสยดสยองบ้างเป็นบางครั้ง หัวเราะเสียงดังจนชาวบ้านชาวช่องรำคาญ

ปีต่อมาหลงใหลให้กับการอ่าน อ่าน และอ่าน อักษรที่เคาะผ่านนิ้วมาจึงเป็นเสมือนภาพถ่ายอย่างย่อจากสิ่งที่ได้อ่าน เกิดอาการ “หนังสือหนังหา” ขึ้นสมองจนเบียด “เรื่องในวงเล็บ” ตกขอบ

ปีนี้นับตั้งแต่ต้นปี เป็นปีแห่งการสูญเสีย เพื่อนที่รัก พี่ชายจากไปอย่างไม่หวนกลับ ได้เวลาหยุดขบคิดถึงคุณค่าของชีวิตถึงสองครา “เพื่ออะไร”

การทำงานที่กระหายผลตอบแทน การแข่งขันเพื่อเหยียบคนอื่นให้จมเพื่อให้ตัวเองได้ยืนบนพื้นที่ที่สูงกว่า มีประโยชน์อย่างไรในเมื่อ สุดท้ายแล้วคนเราเหลือเพียงธุลีเถ้าที่แยกไม่ออกเลยว่ากองเถ้านี้เคยเป็นของใครมาก่อน ความสวยงาม ความอร่อยรสที่ทุ่มเทค้นหาแสวงมามีประโยชน์อะไร “กาแฟร้อน” คือพื้นที่ว่างที่ทำให้เราได้หยุด

หยุด เพื่อครุ่นคิดสิ่งที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวินาทีที่แล้ว เมื่อนาทีที่แล้ว เมื่อชั่วโมงที่แล้ว วันที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ตลบทับพับเป็นชั้นๆของความนึกคิด ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นเราได้เผาผลาญคุณค่าของการมีชีวิตไปอย่างบ้าคลั่ง

คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่การทำให้ตัวเรามีคุณค่า การมองเห็นคุณค่าของสิ่งรอบข้าง คนรอบข้างต่างหาก ที่สร้างคุณค่าให้กับตัวเราเอง ดั่งคำโบราญว่าไว้ “ยิ่งให้ยิ่งได้รับ” คนโง่ฟังแล้วหัวร่อคิดว่าเป็นไปได้อย่างไร

ชีวิตของข้าพเจ้า
ชีวิตของตัวอักษรข้าพเจ้า

กำลังย่างเท้าก้าวเข้าปีที่สี่

ชีวิตข้าพเจ้าคงสั้นลงไปทุกวินาที ทุกนาทีชั่วโมง
คงมีแต่เพียงอักษรที่ทิ้งเอาไว้เท่านั้นที่ยังคงมีอายุมากขึ้น

มากขึ้น

ขอบคุณสำหรับทุกตัวอักษร ที่หมุนเวียนเข้ามาพบเจอและจากลา

ชีวิตมีคุณค่า
ตัวอักษรก็เช่นเดียวกัน

ใช้มันอย่างมีประโยชน์และสร้างสรรค์
เพราะเมื่อเราล้มหายตายจาก

สิ่งที่คงเหลือไว้คือ ตัวหนังสือดีๆจำนวนหนึ่ง

ด้วยมิตรภาพเช่นเคย

6 Responses to “กาแฟร้อน : สามปีที่อักษรมีชีวิต”

  1. ธุลีดิน Says:

    ข้าพเจ้าพบจุดสามจุดในวงเล็บครั้งแรกครั้งฝึกเขียนเรื่องที่ winbookclub.com เรื่องที่หาได้เป็นเรื่องอันใด เรื่องที่ไม่รู้กระทั่งจะวางบทสนทนาตรงไหน? บทบรรยายไว้ตำแหน่งใด?

    นานหนวงเล็บสามจุดจะโผล่มาสักครั้ง แต่ทุกครั้งคราบอักษรที่ฝากรอยไว้บอกให้รู้ว่านี่คือคลื่นคีตาอันเป็นความถี่ใกล้เคียงกัน

    จากนั้นก็ห่างหาย

    ความระลึกรู้ ตระหนักถึงคุณแห่งอักษรสังคีตอันได้การุณกล่อมละอ่อนหัดเขียนที่ย่ำเดินอย่างไม่รู้หนรู้ทางให้ขยับก้าวไปนั้นยังฝังจำเสมอมา

    กระทั่งระเหเร่ร่อนจากร่มไม้ชายคาอันเคยหวังฝังดักแด้ฟักตัวกว่าจะปีกกล้าขาแข็ง ออกไปคว้างอยู่โดดเดี่ยวโดยเดียว นั่งกั้นจากปูฟากไม้ไผ่สร้างกระต๊อบเล็ก ๆ หวังพอหลบแดดฝน

    แต่แล้วมีคำทักทายโดยไม่คาดฝัน เป็นน้ำเสียงที่เคยผ่านตา ข้าพเจ้าพบสามจุดในวงเล็บอีกครั้ง เหมือนพลัดหลงอยู่ในดินแดนแปลกถิ่นพบพานสหายจากหมู่บ้านเดียวกัน ความยินดีนั้นไม่อาจบรรยาย คำทักทายครั้งนั้นฝังใจจำเสมอมา

    กระท่อมข้าพเจ้าพังไม่อาจซ่อมแซมทำให้ต้องระเหระหนอีกครั้ง จนปักหลักอยู่ที่ bloggang สามจุดในวงเล็บแวะเยี่ยมทักทายเป็นระยะ ทุกครั้งไม่เคยลืมหิ้วชะลอมอักษรติดผลไม้วรรคทอง คำคม มาฝาก ทำให้ข้าพเจ้าเรียนรู้เข้าใจถึงคุณค่าของการเยี่ยมที่ตั้งใจมาเยือน ทุกริ้วอักษรฝาก สอนให้ตระหนักถึงคุณค่าของกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เขียนอย่างตั้งใจ มีบางสิ่งบางอย่างติดสอยห้อยตามมาพร้อมริ้วรอยอักษรเสมอ

    กระทั่งมาปักชานปลูกเรือนกันที่หมู่บ้าน WP แห่งนี้

    สำหรับข้าพเจ้า–สิ้นปีครบสองปีที่เรือฟางลำน้อยชักใบล่องไปในอักษรสมุทรอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่นี้ การได้พบท่านเป็นเหมือนคนทะเลที่ชีวิตประจำวันเห็นแต่น้ำกับฟ้าพบเรืออีกลำที่ล่องผ่านมา เราอาจไปด้วยกันสักระยะ เราอาจแยกจากกันสักชั่วคราวหรือตลอดไป นั่นหาใช่เรื่องที่ต้องวิตกกังวล

    ข้าพเจ้าเพียงหวังให้ท่านทราบเรื่องประการหนึ่ง

    ข้าพเจ้าถือท่านเป็นสหาย

    คารวะ
    ธุลีดิน

  2. สวรรค์เสก Says:

    -สามปีที่ผ่านมา-

    .

    กาลเวลากว่าสามปีเป็นช่วงเวลาที่หากจะพูดว่ามากก็ได้ พูดว่าน้อยก็ไม่ผิดปากอีกเช่นกัน

    เวลาสามปีนั้นสามารถทำให้เด็กตัวแดงๆ ลุกขึ้นวิ่งได้
    และกาลเวลาเท่ากันนี้ก็สามารถทำให้ข้าวใหม่ปลามันกลายเป็นข้าวบูดปลาเน่าได้เช่นกัน

    ไม่ถึงสามปี
    มันไม่น่าจะถึงสามปีหรอก
    ผมหมายถึงกาลเวลาที่ผมได้ทะล่อนตัวอักษรเข้าไปเฉี่ยวท่านผู้เฒ่าหนังเหี่ยวแห่งสำนักหนอน และบรรดา “สหายใยแก้ว” ในห้องหนอนสนทนาบรรดามี

    ให้ตายเถอะ! ผมยังจำอารมณ์ในห้วง พ.ศ นั้นได้
    ก้อ..จะว่ากะไรดีล่ะพระคุณพี่สามขา ป้าดธิโธ๊! มันตื่นเต้นอย่าบอกใครเชียวล่ะพระคุณพี่ หากจะยกเอาดีกรีความตื่นเต้นในการเขียนคำถามถึงเจ้าสำนักหนอน และเขียนแสดงความเห็นต่องานเขียนของนัก(หัด)เขียนมือฉกาจในบ้านหนอนในตอนแรกของผมละก้อ ผมรู้สึกตื่นเต้นและหวาดเสียวพอๆ กับค้นพบสัจจธรรมแห่งความสยิวเมื่อตอนหน้าแตกสิวใหม่ๆ ก็ไม่ปาน–สุดยอด!

    อา…สามปีแล้วสินะ
    เวลากว่าสามปีได้ฆ่าความเสียวของผมไปจนหมดแล้วล่ะ
    ที่เหลืออยู่ตอนนี้คือความแข็งโดกของความคิดที่ผมพร้อมจะพุ่งไปทิ่มแทงใครก็ได้ถ้าหากผมไม่เห็นคล้อยไปกับเขาเหล่านั้น

    เวลาสามปีได้ทำลายความไร้เดียงสาของอักษราของผมไปมาก
    หากเปรียบดั่งคน ตอนนี้ผมคงไม่ใช่ไอ้หนุ่มหน้าละอ่อนที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองมี “ดีโด่” อะไรแล้วล่ะ แต่คงจะคล้ายคนวัย 18-19 ที่ห้าวหาญไม่เกรงกลัวปืน-มีด เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างความเป็นผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะและคนวัยคึกคะนองที่ทำอะไรไร้หลักการณ์และเหตุผลเอาแต่อารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง

    .
    .

    -พลังประหลาด-

    .

    “เฮ้ย! ไอ้หนุ่ม เอ็งลายมือขาดสองข้างเลยนี่หว่า ยังงี้ต้องไปต่อยมวย รับรองว่าได้เป็นแชมป์” ลุงคนหนึ่ง ผู้ซึ่งได้รับเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าดูหมอแม่นเหมือนตาเห็นทักผมขณะเอามือทั้งสองข้างของผมไปหงายดูลายมือ

    “ว่ะ! ไม่ใช่ซะแล้ววะเฮ้ยไอ้หนุ่ม เส้นนี้มาตัดตรงนี้นี่นา เอ็งทำบาปไม่ขึ้นซะแล้ว มือก็นิ่มเหมือนผู้หญิงซะด้วย…อืมม์…” หลังจากดูมือซ้ายทีขวาทีแล้วลุงผู้นั้นก็พูดต่อว่า “บวชเถอะว่ะ เอ็งบวชแล้วจะได้ดี”

    “เฮ้ย! บวชได้ไงลุง ผมอยากมีเมีย” ผมยังจำได้ว่าตอบคุณลุงผู้นั้นไปยังงั้น

    “เหรอ .. งั้น ไหนเอามือมาดูใหม่สิ…อืมม์ เอ็งพูดแล้วจะได้เงินว่ะไอ้หนุ่ม เอ็งเกิดวันอะไร บอกวันเดือนปีเกิดมาให้ข้าทีสิ” หลังจากผมบอกไปแล้วแกเขียนอะไรขยุ๊กขยิ๊กอีกครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผมว่า “ดวงเอ็งมันน่าบวชเหลือเกินไอ้หนุ่มเอ้ย แต่หากไม่บวชก็จะได้เป็นครูคนอยู่ดีนั่นแหละ เอ็งมีเสน่ห์ที่คำพูด พูดแล้วคนจะเชื่อ จะได้เงินได้ทองจากการพูด”

    “ผมนี่นะลุงจะบวช เถอะ! น้ำคงท่วมหลังเป็ดซะก่อนล่ะถึงจะเป็นไปได้ อีกอย่างผมขี้อายจะตาย จบก็แค่ ป.6 แล้วเอาความรู้มาจากไหนไปเป็นครูสอนใครเขาได้ เอาละลุง ยังไงผมก็ขอบคุณล่ะครับที่ช่วยดูดวงให้ผมนะครับ” ผมลาจากแกในวันนั้น ตอนนั้นผมอายุ 14 ย่าง 15 กำลังเป็นวัยสะรุ่น

    ปีถัดมาพลังประหลาดบางอย่างถีบผมเข้าสู่ดงขมิ้น พลังนั้นพาผมไปตระเวนไพรอยู่หลายปี แล้วออกจากป่ามาสู่เมือง แต่พลังประหลาดนั้นก็ยังตามมาถีบผมกระทั่งกระเด็นออกจากดงขมิ้นมาจนถึงเมืองนอกเมืองนาจนได้

    แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ผมดั๊นนนน จำคำพูดของคุณลุงผู้นั้นได้ไม่ลืม ทว่าก็ไม่เคยคิดดอกว่าตัวเองจะพูดแล้วมันจะได้เงินยังไง เพราะผมก็ยังเป็นผม ยังเป็นคนหนุ่มที่หน้าตาละม้าย แบรต พิตต์ เหมือนเดิม ที่แม้วันนี้จะไม่มีสิวให้บีบเหมือนตอนนั้น แต่ผมก็ยังขี้อายไม่มีความมั่นใจในการพูดต่อหน้าสาธารณชนอยู่ดี

    .
    .

    -อักษรมีชีวิต-

    .

    “วรรณกรรมตายแล้ว!” ใครไม่รู้อุตริพูดประโยคนี้ออกมา
    ก็ถ้าหากวรรณกรรมตายไปแล้วจริงๆ ดังคำพูดประโยคนี้นั้น แล้วสำมะหาอะไรกับชีวิตคนเดินดินกินข้าวเหนียว ส้มตำ ลาบ น้ำตก และซุปหน่อไม้ จะตายบ้างไม่ได้เล่า??

    คุณค่าของชีวิตคืออะไร? เพื่ออะไร? งั้นหรือขอรับท่านพี่
    ในความคิดของเกล้าฯแล้วมันก็แค่ “ความสุข” “เพื่อความสุข” เท่านั้นเองแหละขอรับ
    ทว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้าหากว่าเขาผู้นั้นไม่รู้ว่าทำอย่างไรตัวเองถึงจะมีความสุข
    และคงจะเป็นเรื่องเศร้ามากขึ้นไปกว่านั้น หากว่าเขาก็ไม่เข้าใจว่าคนอื่นก็ต้องการความสุขเหมือนๆ กันกับตนด้วย

    มันน่าคิดอยู่หน่อยก็อีตรงที่ว่า “แล้วอะไรล่ะคือความสุข?” อืมม์ อันนี้ล่ะ ปัญหาโลกแตกล่ะทีนี้

    หากเฉลียวใจเชื่อพระจอมปราชญ์ผู้ฉลาดลึกๆ ที่ทรงตรัสเอาไว้เรียบๆ ว่า “สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี” แล้วละก้อ ไม่แน่ว่าบางทีเราอาจไม่ต้องไปดิ้นรนค้นคว้าหาความสุขไกลตัวกันเลย และถ้าหากเราสงบสุขด้วยตัวของเราเองได้จริงๆ แล้วละก้อ เกล้าฯว่า คนอื่นๆ ก็คงจะพลอยได้รับอานิสงส์จากการที่ตัวเราไม่ได้เป็น “ตัวเจ้าปัญหา” ด้วยแน่ๆ โอ้ววว “เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว” อีกแล้วหรือนี่

    .
    .

    -ความส่งท้าย-

    .

    ท้ายสุดและสุดท้ายขอรับท่านพี่

    “ชีวิตสั้น อักษรยืนยาว” ขอรับ
    ประโยคของอาจารย์ฝรั่ง ศิลป์ พีระศรี ของเรา
    แต่เกล้าว่าเอามาใช้กับงานศิลปะได้หมดทุกประเภทนั่นแหละ

    .
    .

    ด้วยมิตรภาพขอรับ

    สิญจน์ สวรรค์เสก

  3. ก ร ะ ท่ อ ม ธุ ลี ดิ น Says:

    Happy New Year

    Send this eCard !

  4. bysoul Says:

    สวัสดีค่ะท่านมารขาว

    .

    ข้าพเจ้ามีข่าวมาเล่าขาน ด้วยเหตุที่ท่านซุนปิน(กระบี่ดาวแดง) ได้สำแดงวาทะ ฝากถึงท่านเอาไว้ ที่ มะแขว่น(๑๐) ค่ะ

    หรือจะกระโดดตามลิงค์นี้ไปก็ได้นะคะท่าน

    มะแขว่น (๑๐)

    😀

  5. ไอซ์ Says:

    สวัสดีปีใหม่ พี่สาม

    มีความสุขมากๆนะขอรับ

  6. swordbelt Says:

    ขอให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านมีฟามสุขมากขอรับ

    ช่วงนี้การงานไม่อำนวย ขออภัยมวลมิตรทั้งหลาย

ใส่ความเห็น