หนังสือหนังหา:ความฝันโง่ๆในวันที่ถอดหมวก

หนังสือบางเล่มมีไว้เพื่อชิม
บ้างสำหรับกลืน
และเพียงไม่กี่เล่มสำหรับเคี้ยวหรือย่อย
หนังสือบางเล่มสำหรับอ่านเพียงบางส่วน
อีกบางเล่มสำหรับอ่านเรื่อยๆ
และไม่มากเล่มสำหรับให้อ่านทั้งหมด
อย่างพากเพียรและตั้งใจ

-เซอร์ ฟรานซิส เบคอน-
(จากหน้าแรกของ นิยายข้างจอ:วินทร์ เลียววาริณ)

บ่ายแก่ๆแดดสดๆในวันอาทิตย์แทบทำให้จิตใจผู้คนละลายคล้ายไอติม กาแฟเย็นในแก้วกระดาษถูกดวดลงลำคออย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนั้นจดหมายจากที่ราบชื้นทางเหนือของสยามประเทศก็ถูกส่งผ่านสัณญาณดิจิตอล เปิดซองมาก็พบภาพหนังสือส่วนหนึ่ง ภาพทุ่งนาสีเขียวรูปหนึ่ง และกระดาษแผ่นหนึ่งเป็นตัวอักษรเล่าเรื่องราว …

เรียนท่านมารขาวที่เคารพ

เมื่อวานข้าพเจ้าเข้าเมือง ไปดำหัวเภสัชกรอาวุโส และไปหาความศิวิไลซ์ พอตกบ่ายอากาศร้อนจัดตามประสาป่าคอนกรีตทั่วไปจึงหลบเข้าร้านขายหนังสือ แล้วก็ได้หนังสือมา 4 เล่ม ราคาไม่เท่าไรแต่รวม ๆ ที่จ่ายไปในวันนี้ทำเอากระเป๋าแฟบไปเยอะเหมือนกัน(แฮะ!)

ในร้านขายหนังสือข้าพเจ้าเจอเด็ก ๆ เยอะเลยค่ะ เห็นแล้วก็ชื่นใจที่เด็กกลุ่มนี้สนใจหนังสือหนังหา และหากเรามีมุมหนังสือสำหรับเด็ก มีหนังสือส่งเสริมจินตนาการ สวยงาม สนุกสนานเพลิดเพลินและปลอดมลพิษให้กับเขาได้อ่าน ได้รู้จัก ก็จะส่งเสริมให้เค้ารักการอ่านได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

อ่า…เล่ามาเป็นนานสองนานไม่ได้พูดถึงหนังสือที่หอบหิ้วมาหรอกนะคะ แต่จะพูดถึงหนังสือเล่มที่ไปเจอในห้องสมุดประชาชนประจำอำเภอค่ะ ห้องสมุดของที่นี่ตั้งอยู่ในเขตวัด อากาศดี สงบ ร่มรื่น บรรยากาศเหมาะสำหรับการอ่านอย่างยิ่ง ค่าสมัครสมาชิก 30 บาทต่อปี มีหนังสือให้หยิบยืมหลากหลาย ยืมได้ครั้งหนึ่งไม่เกิน 4 เล่ม นาน 7 วัน (คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้วค่ะท่าน)

บ่นมาเป็นนานก็ยังไม่เข้าเรื่องสักทีเลยนะนี่ !!
พระเอกของ (จดหมายเล่าเรื่องหนังสือหนังหา) วันนี้ก็คือ “ความฝันโง่ ๆ” หนา 240 หน้า เป็นหนังสือในโครงการ “เติมหัวใจใส่ห้องสมุด” บริจาคหนังสือเล่มนี้เข้าห้องสมุดทั่วประเทศ ร่วมอนุโมทนาบุญกับโครงการนี้ด้วยค่ะ

01

ความฝันโง่ ๆ : วินทร์ เลียววาริณ
บรรณาธิการ : ปริสนา บุญสินสุข

เห็นชื่อหนังสือแล้วก็มานึกถึงว่าความฝันอะไรที่ถูกตราว่าเป็น “ความฝันโง่ ๆ” อ่านคำโปรยของหนังสือดู ผู้เขียนได้เล่าไว้อย่างนี้ค่ะ

วันหนึ่งในปี ค.ศ. 1924 จอร์จ มัลเลอรี และเพื่อนมุ่งหน้าสู่ยอดเขาเอเวอร์เรสต์กับความฝันโง่ ๆ ของพวกเขา ไม่มีใครได้เห็นพวกเขาอีกเลยหลายคนมองการกระทำของพวกเขาเป็นความโง่ สมน้ำหน้าเมื่อพวกเขาตายไป พิพากษาเขาเหล่านั้นด้วยประโยค “อยู่ดี ๆ ไม่ว่าดี…”

โลกเราเต็มไปด้วยความความฝันโง่ ๆ …
แอริค วิเลนไมเยอร์ เป็นคนตาบอด เขาฝันที่จะปีนขึ้นสู่เจ็ดยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
ครีส มูน ขาขาดจากกับระเบิด เขาฝันที่จะวิ่งมาราธอน
สวีเฟน ฮอว์คิง เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ เขาฝันสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกแกแล็คซีหนึ่ง
ฌอง-โดมินิค โบบี เป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ เขาฝันที่จะเขียนหนังสือ
ฯลฯ

เหล่านี้เป็นความฝันโง่ ๆ ไม่ใช่โง่ธรรมดา แต่เป็นโง่มาก ๆ ทว่าคนโง่เหล่านี้ปฏิเสธที่จะคิดอย่างคนทั่วไปว่ามันเป็นไปไม่ได้ พวกเขาเชื่อว่า ต่อให้เป็นความฝันโง่ ๆ เพียงใดก็เป็นความฝันที่ต้องลองทำ และราคาของความฝันโง่ ๆ นั้นคุ้มค่าเสมอ แม้ว่าต้องจ่ายด้วยความตาย เพราะมนุษย์ตายได้ แต่พ่ายแพ้ไม่ได้

ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มนี้มาจากชั้นวางเพราะ รูปเล่ม ที่สะดุดตา ชื่อของผู้แต่ง ที่สะดุดใจ แต่เมื่ออ่านคำโปรยหลังปกแล้วชักลังเลเพราะเกรงว่าเนื้อหาจะหนัก จนน่าเอาไปหนุนต่างหมอนเสียแล้ว พอลองเปิดพลิก ๆ ดูด้านใน กลับไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย ในเล่มมีรูปภาพพร้อมประโยคเก๋ ๆ สลับกับบทความที่เล่าจบเป็นเรื่องเป็นตอนไปตลอดเล่ม

หน้าที่ 111 มีรูปเสือลายพาดกลอนนอนทอดอารมณ์กลางพงหญ้า และตัวอักษรสีขาวกำกับว่า “เมื่อท้องอิ่ม เรารู้สึกว่าต้องการอะไรจากโลกน้อยลง” เหมาะกับคนที่มีเวลาพักแบบกระปริดกระปรอยอย่างข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องอ่านให้จบในคราวเดียว ไม่ต้องกลัวขาดตอน ขาดอรรถรสอันเนื่องจากอารมณ์ไม่ต่อเนื่อง

และในเล่มไม่ได้มีแต่เรื่องราวของความฝันโง่ ๆ อย่างที่คาดว่าจะได้เจอเท่านั้นหรอกค่ะ อย่างตอน “รังที่สร้างด้วยรัก” อ่านไปยิ้มไปกับประโยคน่ารัก ๆ ที่พูดถึงนกตัวเล็ก ๆ สองตัวนั้นว่า “.. ส่งเสียงแจ้ว ๆ จุ๋งจิ๋งตลอดเวลาหากไม่ใช่เสียงพลอดรัก ก็คงเป็นการปรึกษางานกันว่าจะสร้างรังอย่างไร… เธอไปจิกกิ่งไม้มานะจ๊ะ ฉันจะไปหาอาหารมาจ๊ะ หรือว่าเราจะไป ช๊อป ฯ กิ่งไม้ด้วยกันดีมั้ยจ๊ะ…” แล้วผู้เขียนนำเหตุการณ์นี้ไปเปรียบเทียบกับการทำงานเป็นทีมเวิร์กของคนในองค์กรในตอนท้ายได้อย่างน่าชื่นชม

เคยอ่านเจอว่า หนังสือบางเล่มสามารถเปลี่ยนชีวิตของคนได้ เมื่ออ่านหนังสือเรื่อง “ความฝันโง่ ๆ” เล่มนี้จนจบ แม้ไม่ได้เปลี่ยนชีวิตของข้าพเจ้าไปสักองศาเดียว แต่ก็ทำให้ ความรักในการอ่าน กลับมีชีวิตชีวาได้ไม่น้อยเลย และที่หน้าสุดท้ายของหนังสือมีตัวอักษรพิมพ์ไว้ว่า

“ลองเดินหน้าสู่ฝันโง่ ๆ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเพิ่มมุมเย็บปักถักร้อยขึ้นมาในร้าน แม้ไม่เข้ากันกับร้านขายยาแต่ว่ามันเป็นความรัก ความฝัน ความฝันโง่ ๆ ของข้าพเจ้านั่นเอง อิอิ

ปล. แนบรูปหนังสือมาด้วยค่ะท่าน แต่มันมืดไปหน่อยเพราะถ่ายไว้ตอนหัวค่ำ นึกขึ้นได้ว่าจะถ่ายใหม่ก็ดันเอาหนังสือไปส่งห้องสมุดเสียแล้วอ่า เอาเป็นว่าแถมรูปถ่ายของทุ่งช้างบ้านเกิดของข้าพเจ้า (ตอนกลางวัน) มาให้ด้วยละกันค่ะ 555555+ ทำเป็นภาพพื้นหน้าจอนะคะ เอาไว้พักสายตาค่ะ

0001.jpg

เมื่ออ่านจบแล้วมองภาพสุดท้าย มารขาวตัวดำอย่างข้าพเจ้าก็จำต้องกระดิกนิ้วบิดขี้เกียจเสียที

๒๒-เมษา-๒๕๕๐

ในวันอาทิตย์ที่ร้อนใส้แห้ง

เรียนท่านมารดำที่เคารพ ข้าพเจ้าจัดการเรื่องภาพให้แล้ว..แต่

ข้าพเจ้าเห็นภาพนาแห่งทุ่งช้างที่ท่านแนบมาด้วย ใคร่คิดอยากเป็น “ควาย” อย่างยิ่งขอรับ

ทำไมหรือขอรับ ก็อากาศร้อนๆเช่นนี้หากได้นอนแช่โคลนเย็นๆ ลมพัดโชยชิวพอโคลนแห้งหมาดก็มีคนพาเดินไปอาบน้ำในคลอง คงมีความสุขพิลึก กินก็ไม่เลือกมาก(เรื่องมาก) หญ้าอ่อนๆเย็นๆเคี้ยวแล้วกลืนไม่ต้องบำรุงคิวเทนไบโอเทคไบโอทอก โฟร์เมก้าสามสองหนึ่งศุนย์หรืออะไรให้มากมายเลยขอรับ หากคนเรากินง่ายเหมือนควายก็ดีสิขอรับ สงครามแย่งอาหารก็คงไม่เกิดจริงรึเปล่าขอรับ โอ่.. เรื่องนี้ควายเท่านั้นที่รู้

ความฝันโง่ๆเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับคนหมดเรี่ยวหมดแรงในชีวิตอย่างยิ่งขอรับ คนในเมืองเช่นข้าพเจ้านั้นหมดแรงง่ายเหลือเกิน เพราะวันๆนั้นต้องใช้เรียวแรงไปกับอุปทานตัวเองและอุปทานของผู้คนที่อยู่รอบข้าง อุปทานของตัวเองคือความอยากมีอยากได้ อยากชนะ อยากเป็นที่ยอมรับ คล้ายเป็นสิ่งหนักที่เราแบกตลอดเวลา

แล้วอุปทานของคนอื่นละ อุปทานของคนอื่นก็คือการแบกรับความหวัง(ความน่าจะ)ของคนอื่นทั้งเป็นพี่พ่อเพื่อนญาติพี่น้องและน้องๆ(อืมม์) คนนั้นอยากให้เป็นแบบนั้น คนนี้จะเอาอย่างโน้น อาชีพบริการไม่ว่าจะสาขาใด นอกจากจะต้องทำงานให้บรรลุเป้าหมายแล้วก็ยังไม่ต่างอะไรกับถังขยะอารมณ์(ที่ไม่ดี)ดีๆนี่เอง

สิ่งต่างๆที่เราแบกรับกันอยู่นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับหมวกที่เราสวมอยู่ บางคนมีหมวกมากกว่าหนึ่งใบเสียด้วยซ้ำ (ท่านละมีกี่ใบ) เมื่อเอ่ยถึงหมวกแล้วข้าพเจ้าเองก็เพิ่งจะผ่านหน้าสุดท้ายของหนังสือที่อยู่ในมือไปหมาดๆก่อนที่จดหมายของท่านจะมาถึงนี้เองขอรับ

theartofbein.jpg

วันที่ถอดหมวก : ความเรียงว่าด้วยอิสรภาพจากตัวตน
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : รวมบทความใน นิตยสาร ฅ. คน ฉบับที่ 1-16

เมื่อเอ่ยถึงอาจารย์เสกสรรค์แล้ว ภาพที่นึกเห็นในห้วงความคิดคือผู้ชายใส่หมวกที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของการชุมนุมเรียกร้อง… การต่อสู้กับ… สงคราม… หรืออะไรก็แล้วแต่จะมอง ตามแต่ที่ใครเลยรู้จัก ข้าพเจ้าเองก็นึกภาพของอาจารย์เสกสรรค์ไปไม่ต่างจากที่กล่าวมาข้างต้น คือคนสวมหมวก ต่อสู้

“วันที่ถอดหมวก” แน่นอนว่าแค่ชื่อหนังสือนั้นก็กำลังบอกถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปแน่นอน ทำไมจึงต้องถอดหมวก??

ข้าพเจ้าไม่เคยอ่านงานเขียนของอาจารย์เสกสรรค์มากนัก(แต่ถ้าสวรรค์เสกละก็อ่านบ่อย) มากจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยเลยก็ว่าได้ ความเรียงชุดนี้บางตอนข้าพเจ้าเคยอ่านจากหนังสือ ฅ.คน มาแล้ว อาจด้วย”ภาพ”ข้างต้นที่กล่าวไว้ก็เป็นได้ ที่ทำให้ข้าพเจ้านึกว่างานเขียนของอาจารย์ต้องเป็นอะไรที่หนักหน่วง ปลุกใจ ปลุกไฟในกาย(มิใช่ไฟราคะนะขอรับ) ให้เดือดพล่าน แต่พอเจอคำว่า”ถอดหมวก”เท่านั้นละขอรับ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านโดยพลัน

เกือบทุกบทความในหนังสือเล่มนี้ ล้วนพูดถึงสิ่งต่างๆรอบๆตัวเรา ที่ใกล้ตัวและไม่ยิ่งใหญ่เกินไปเลยที่จะสามารถรับรู้และลองคิดตามเพื่อต่อยอด มันเป็นสิ่งสามัญที่ไม่ต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกใดๆมาประกอบการตัดสินใจ

สิ่งที่ทำให้มองเห็นถาพเหล่านั้นได้ดีคือการถอดหมวก หรือลดอัตตาของตัวเองลงนั่นเอง เป็นการมองโลกรอบกายในมุมที่อ่อนโยน ด้วยสายตาของผู้ผ่านโลกมามาก โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องของ คน. (อาจเพราะลงในหนังสือ ฅ.คน ด้วยก็เป็นได้ขอรับ)

“สิ่งมหัศจรรย์ในเรื่องนี้ก็คือความที่ท่านไม่มีตัวตน หรืออย่างน้อยก็ไม่ยึดถือตัวเองเป็นศุนย์กลางของความต้องการพื้นที่ที่ท่านเหลือไว้ให้ผู้อื่นจึงมากมายไร้ขอบเขต กลายเป็นว่าชีวิตท่านกลับเป็นหนึ่งเดียวกับผู้คน หนึ่งกับทั้งหมดแยกกันไม่ออก อิสรภาพของปัจเจกกับเอกภาพขององค์รวมกลายเป็นเรื่องเดียว”

(ผู้อื่นในตัวเรา/หน้า๒๒)

ความคิดของคนนั้นแตกต่างกันมากมายต่อให้เรามีกระดาษนาโนที่สามารถจดบันทึกตัวหนังสือได้มากมายเพียงใดก็คงไม่เพียงพอกับความคิดอันหลากหลายของคน งานเขียนชิ้นนี้ของอาจารย์จึงคล้ายเป็นการบอกเล่าวิธีการมอง ฅ.คน จากมุมที่ไม่ใช่มุมของตัวเอง เป็นการมองจิตวิญญาณ เปลี่ยนจากนักล่าเป็นนักรบ จากนักรบเป็นนักพรตก็ว่าได้ มุมมองนั้นลึกล้ำคล้ายจอมยุทธเข้าไปทุกขณะจิต

“จำไว้ก็แล้วกัน” ผมกล่าวแบบสรุปรวบยอด “ทุกครั้งที่มีปัญหาและคิดอะไรไม่ออก เธอต้องขยายกรอบคิดให้กว้างออกไป ขยายกรอบเวลาในความคิดให้ยาวนานขึ้นแล้วจะมองเห็นทางออกเอง”

(ลำแดดเหนือม่านฝน/หน้า๗๓)

จะว่าไปแล้วมีหลายเรื่องในหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในชีวิตข้าพเจ้า อยากจะเล่าเหมือนกันแต่เกรงว่าจะยาวไป เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาศท่านได้หยิบหนังสือเล่มนี้มาลองอ่านละก็ข้าพเจ้ารับรองว่า ท่านจะต้องอมยิ้มกับเรื่องและสาเหตุของการต้องถอดหมวกของอาจารย์เสกสรรค์

จบง่ายๆเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้เลยขอรับว่า “สงบ เย็น และ อบอุ่น ” อย่างบอกไม่ถูกขอรับต้องอ่านเอง(อืมม์)

ด้วยความเคารพเช่นกัน
มารขาว(ตัวดำ)

ปล.๑ ภาพทุ่งนาของท่านมันทำให้ข้าพเจ้าอยากเป็นควายจริงๆ ให้ตายเหอะ

ปล.๒ที่ท่านจะให้ข้าพเจ้าตรวจคำผิดนั้น แค่คิดก็ผิดแล้วขอรับ…

6 Responses to “หนังสือหนังหา:ความฝันโง่ๆในวันที่ถอดหมวก”

  1. tuleedin Says:

    ยอดเยี่ยมกระเทียม(โทน)ดอง
    มุกนี้ร้ายกาจมั่กมั่ก!

    ดูท่า ‘ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาด’ จะมีคู่แข่งเสียแล้วคราวนี้ อิ อิ

  2. jitpan Says:

    สงสัยต้องไปหา “ความฝันโง่ๆ” มาอ่านบ้างแล้ว เผื่อความฝันโง่ๆในหัวผมจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาบ้าง

  3. (...) Says:

    ขออภัย(มณี) ขอรับพี่น้อง เครื่องหม่อมผมโดยไวรัสแ_ก
    ตอนนี้ล้างเครื่องลงใหม่แล้วแต่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ข้อมูลเวปเกี่ยวกับหนังสือหายตูดหมดเลยY_Y

    ขอบพระคุณเหล่าสหายที่แวะเวียนมาเยี่ยมอาการ จะกลับสู่ภาคปกติโดยพลัน

    ด้วยมิตราภาพขอรับ..ครับผม

  4. แลกกันอ่าน : ความฝันโง่ๆในวันที่ถอดหมวก « bookblogstorage Says:

    […] [อ่านต่อ…] […]

  5. pint Says:

    ต้องลองอ่านของอ.เสกสรรในยุคแรกก่อนนะครับ เช่นดอกไผ่
    เพื่อได้เข้าใจตัวตนและจิตวิญญานของท่านมากขึ้น

  6. หนังสือหนังหา : อารัมภบท « heart@soul Says:

    […] คัดลอกจาก “หนังสือหนังหา” ของท่านมารขาวค่ะ […]

ใส่ความเห็น